วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

พลังมหัศจรรย์ของ ราสป์เบอร์รี่ Raspberry

ในราสป์เบอร์รี่มีกรดเอลเลอจิกที่มากมาย มีวิตามินซีค่อนข้างสูง ทำหน้าที่ช่วยภูมิคุ้มกันของร่างกายให้กำจัดเซลล์มะเร็งได้เพิ่มมากขึ้น และวิตามินซียังช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์คอลลาเจนได้เพิ่มมากขึ้น
คอลลาเจนจะทำหน้าที่เป็นกาวยึดเซลล์ต่าง ๆ ให้กระชับเข้าด้วยกัน และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีอีกด้วยค่ะ
ในราสป์เบอร์รี่ เป็นแหล่งของวิตามินหลายหลายชนิด ที่ช่วยในเรื่องของระบบเผาผลาญพลังงาน และบำรุงประสาท โดยเฉพาะวิตามินบี 3 (ไนอะซีน) ที่ช่วยควบคุมปฎิกิริยาเคมีในร่างกาย
*** สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง วิตามินบี 3 ถือว่ามีความจำเป็นสูงมาก เพราะจะช่วยให้ยาไปออกฤทธิ์ได้ตรงตามหน้าที่
 ราสป์เบอร์รี่เป็นแหล่งเกลือแร่ที่สำคัญ มีโพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม มีกากใยช่วยในเรื่องการปรับสมดุลของระบบขับถ่าย ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ดีมากค่ะ
นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็ก และวิตามินบี 9 (โฟเลต)  อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วรับประทานราสป์เบอร์รี่แทนอาหารเสริมดีกว่ามั้ยค่ะ ถึงแม้ราสป์เบอร์รี่จะมีราคาแพง แต่ประโยชน์ที่ร่างกายได้รับก็คุ้มค่าจริง ๆ ค่ะ

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

สตรอว์เบอร์รี่ (ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่) สรรพคุณล้นเหลือ



สีแดงในสตรอว์เบอร์รี่มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงหัวใจได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ (ลองผ่าสตรอว์เบอร์รี่แนวตั้งดูสิคะ เหมือนหัวใจมั้ยเอ่ย) เป็นผลไม้ที่ใช้บำรุงเลือดและบำรุงหัวใจได้เป็นอย่างดี แถมยังอุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของเลือดด้วยค่ะ
ในมีวิตามินซี วิตามินบีเกือบทุกชนิดที่ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน โดยเฉพาะวิตามินบี 9 (โฟเลต) ที่มีอยู่มากเป็นพิเศษ โพเลต ช่วยในการสร้าง       อาร์เอ็นเอ และดีเอ็นเอ ที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของเซลล์
ในสตรอว์เบอร์รี่ จะพบกรดเอลเลอจิกมากเป็นพิเศษ กรดนี้มีฤทธิ์กระตุ้นให้รายกายผลัดเซลล์ผิวแล้วสร้างเซลล์ผิวขึ้นใหม่ และช่วยทำลายเซลล์ที่ผิดปกติอีกด้วย

การทำลายเซลล์ที่ผิดปกตินี่เอง ที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับผลพลอยได้ไปด้วย แถมมันยังออกฤทธิ์กระตุ้นให้ร่างกายทนทานต่อมะเร็ง โดยจะไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายให้ทนต่อการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง รวมถึงไปกัดกินเซลล์มะเร็งและเนื้องอกต่าง ๆ ด้วยตัวมันเอง

*** มีผลการจากการศึกษาและวิจัยเรื่องสรรพคุณของกรดเอลเลอจิก พบว่าช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งที่ปากมดลูกได้อย่างมีประสิทธิผล เพราะนอกจากช่วยฆ่าเชื้อภายในมดลูกและช่องคลอดแล้ว ยังช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งที่กำลังก่อตัวด้วย

เบอร์รี่ ป้องกันเซลล์ถูกรุกรานจากอนุมูลอิสระ

ในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่มีสารที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์จากการรุกรานของอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ตั้งต้นของมะเร็ง พัฒนาไปสู่ก้อนมะเร็งได้เร็วมาก
หากสารในกลุ่มฟีโนลิกตรวจพบอนุมูลอิสระเมื่อใด จะถ่ายอิเล็กตรอนให้แก่อนุมูลอิสระโดยตัวเองไม่สูญเสียคุณสมบัติเดิม ในเบอร์รี่แต่ละชนิด จะมีสารต้านฟีโนลิกที่แตกต่างกัน บางชนิด มีสารฟีโนลิกชนิดเดียว บางชนิดมีมากกว่า 2 ชนิดขึ้นไป
มาติดตามกันว่าเบอร์รี่แต่ละชนิดมีอะไรบ้างในบทความต่อไปนะคะ

เบอร์รี่ ใช้ลดการอักเสบในผู้ป่วยโรคมะเร็ง!!!

เบอร์รี่ เป็นพืชที่มีหลายสายพันธ์ รสชาติส่วนใหญ่จะออกเปรี้ยว
พืชตระกูลเบอร์รี่ จะช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากเซลล์ภายในร่างกายได้ดีมาก
ผู้ป่วยโรคมะเร็งมักจะได้รับยาปฎิชีวนะที่ใช้ลดการอักเสบและลดการติดเชื้อเป็นจำนวนมาก แต่พืชตระกูลเบอร์รี่จะมีสารในกลุ่มของฟีโนลิก เช่น แอนโทไซยานิน กรดเอลเลอจิก ซาลิไซเตท สารเหล่านี้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อและลดการอักเสบได้ดีมาก

สำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นมะเร็งควรรับประทานเพื่อป้องกัน เนื่องจากเมื่อใดก็ตามที่เกิดเซลล์มะเร็งในร่างกาย สารในกลุ่มนี้จะช่วยป้องกันได้ดี
รู้อย่างนี้แล้วมารับประทานเบอร์รี่กันดีกว่าค่ะ อร่อย แถมยังได้ประโยชน์มหาศาลเลยค่ะ

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

ในสับปะรด มีดีอะไรอีก?


นอกจากเอนไซม์โบรมีเลน(Bromelain) จะมีคุณสมบัติช่วยย่อยสลายโปรตีนแล้ว ยังป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดการอุดตันของเส้นเลือดฝอย และช่วยให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายหลั่ง สารไซโตไคน์ ที่ทำให้เม็ดเลือดขาวกำจัดเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เราอาจทำโยเกิร์ตสับปะรดรับประทานง่าย ๆ ได้ค่ะ
โดยนำแกนกลางของสับปะรดมาหั่นเป็นชิ้น ปั่นรวมกับโยเกิร์ต แค่นี้ก็ทำให้เรารับประทานได้ง่ายและมีประโยชน์ด้วยค่ะ เนื่องจากโยเกิร์ตจะช่วยเคลือบหลอดอาหารและกระเพาะอาหารเอาไว้ไม่ให้ถูกสับปะรดทำให้ระคายเคือง(ทางเลือกสำหรับคนที่แพ้สับปะรด)

อย่าลืมนะคะ หากมื้อไหนรับประทานเนื้อสัตว์มากไป หลังอาหารรับประทานสับปะรดตามได้เลยค่ะ

สับปะรด แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ได้ชะงัดนักแล

จากประสบการณ์ที่ผ่านมามักเจอหลาย ๆ คนบ่นกันว่า รับประทานอะไรแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือลดอาการจุกเสียด  นี่เลยค่ะสับปะรด เพราะมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารจำพวกโปรตีน เช่นเนื้อสัตว์ ฯลฯ ได้ดีทีเดียวค่ะ เนื่องจากในสับปะรดมีเอนไซน์โบรมีเลน ซึ่งจะพบในแกนกลางของสับปะรด มีหน้าที่ย่อยสลายโปรตีน และมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้ออ่อน ๆ สามารทำลายแบคทีเรียที่ไม่มีประโยชน์ ลดการอักเสบของกระเพาะและลำไส้
(การที่เราท้องอืดเกิดจากร่างกายย่อยสลายโปรตีนได้ไม่หมดนั่นเอง) 

นอกจากนี้ในสับปะรดยังสามารถป้องกันโรคได้หลายชนิด เช่น มะเร็ง ไตอักเสบ หลอดลมอักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อมพาต

ในสับปะรดมี วิตามินบี 3 (ไนอะซีน) เป็นตัวควบคุมกระบวนการทางเคมีในร่างกาย ช่วยในการสร้างคอลลาเจนที่ใช้ในการกระชับเซลล์ต่าง ๆเข้าด้วยกัน

มีแมงกานีส สังกะสี ช่วยในการดักจับสารพิษจำพวกโลหะหนักเช่น ปรอท แคดเมียม
สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูง ทำให้ขับถ่ายสะดวกขึ้นและช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่ม
ประโยชน์เยอะอย่างนี้ ไม่ทานไม่ได้แล้วค่ะ

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

กีวี กับการบำรุงระบบประสาทและคลอโรฟิลล์ที่หายาก

ในกีวี 100กรัมมีโพแทสเซียมมากกว่า 300มิลลิกรัม ซึ่งมีความสำคัญกับร่างกายมาก ๆ เพราะ
การทำงานของระบบประสาทก็ต้องใช้โพแทสเซียมเป็นตัวนำพาด้วย  นอกจากนั้นกีวีก็ยังให้แคลเซียม ฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของกระดูก
ในกีวี่ยังมีสารคลอโรฟิลล์ เป็นฟลาโวนอยด์ที่ทำให้พืชมีสีเขียว ซึ่งช่วยทำให้ร่างกายลำเลียงพลังงานได้ดีขึ้น และช่วยให้ร่างกายสร้างพลังงานจากออกซิเจนด้วย
เมื่อคลอโรฟิลล์รวมเข้ากับไขมัน จะป้องกันการทำปฎิกิริยากับออกซิเจนอิสระ ยับยั้งการรวมตัวของไลโปโปรตีนที่เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ แถมยังต้านอนุมูลอิสระได้ดีพอพอกับสารที่มีอยู่ในแอปเปิ้ลทีเดียวค่ะ
ยังไม่หมดค่ะ รับประทานกีวี จะทำให้ป้องกันและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งด้วย
รู้อย่างนี้แล้วหันมารับประทานกีวีกันดีกว่าค่ะ ถึงแม้ราคาจะแพงไปหน่อย แต่เห็นคุณประโยชน์แล้วก็คุ้มค่าค่ะ
ระบบของเหลวในร่างกายต้องการโพแทสเซียมเป็นตัวควบคุมและนำพาพลังงานไปยังเซลล์ทุกเซลล์ 

พลังมหัศจรรย์ของแตงโม

ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ แตงโมที่เรารับประทานกันนี่แหละค่ะ มีพลังมหัศจรรย์ซ่อนอยู่อย่างคาดไม่ถึง ในแตงโมจะมีสาร "ไลโคปีน" อยู่มากซึ่งเป็นสารที่ทำให้พืชมีสีแดง  ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์เป็นรองแค่สารเบต้าแคโรทีนในแครอตเท่านั้น  นอกจากนี้แตงโมยังเด่นในเรื่องการบำรุงหัวใจและการฟอกเลือด
ในน้ำแตงโมมีวิตามินซี และวิตามินบีอยู่เกือบทุกชนิด โดยเฉพาะวิตามินบี 6 (ไพริด็อกไซน์) ที่ช่วยลดความเครียด  ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยคะ นี้แหล่ะเค้าเรียกว่าประโยชน์ใกล้ตัวจากธรรมชาติ ราคาไม่แพงหารับประทานได้ทั่วไป  ทีนี้ก็ไม่ต้องไปรับประทานยาเพื่อลดความเครียดกันแล้วค่ะ เปลืองสตางค์เปล่า ๆ แค่รู้จักคุณประโยชน์ของผลไม้แต่ละชนิดก็ดูแลป้องกันตัวเองได้แล้วค่ะ
หากคุณรู้สึกอ่อนเพลียในยามหน้าร้อน ลองดื่มน้ำแตงโมเย็น ๆ สักแก้วจะช่วยคลายร้อนได้อย่างรวดเร็ว เพราะแตงโมมีโพแทสเซียมและแหล่งพลังงาน ที่ร่างกายนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วค่ะ


ทราบหรือไม่ตำราแพทย์แผนไทยใช้เนื้อส่วนที่ติดกับเปลือกเป็นยาแก้ร้อนใน ทีนี้เวลาปอกแตงโม อย่าลืมปอกให้ติดส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวไปด้วยนะคะ รับประทานได้ค่ะ  

ดื่มน้ำแตงโมคลายร้อนสักแก้วนะคะ

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

ทราบไหมทานแอปเปิ้ลต้องทานทั้งเปลือก?

ทราบหรือไม่ว่า เปลือกแอปเปิ้ลเป็นแหล่งรวมสารอาหารมากกว่าร้อยละ 80%  ห้ามปลอกเปลือกแอปเปิ้ลทิ้งมิฉะนั้นเราแทบจะไม่ได้สารอาหารใด ๆ เลย  แต่อย่าลืมล้างให้สะอาด หลาย ๆ น้ำ
การรับประทานแอปเปิ้ลนิยมรับประทานสด หรือไม่ก็นำไปปั่นเพื่อให้รับประทานได้ง่ายขึ้น


ทราบอย่างนี้แล้วยังคิดจะปอกเปลือกกันอีกมั้ยคะ

แอ๊ปเปิ้ล ราชาแห่งผลไม้

แอปเปิ้ลติดอันดับท็อปเทนในเรื่องสรรพคุณป้องกันมะเร็ง เพราะมีใยอาหารชื่อว่า เพกติน ซึ่งผ่านการทดสอบทางการแพทย์แล้วว่าเป็นใยอาหารชั้นเลิศ สามารถป้องกันมะเร็งลำใส้เป็นอันดับต้น ๆ ทีเดียวค่ะ
มีประโยคนึงที่มักพูดกัน กินแอปเปิ้ล 1ผล อายุยืนขึ้น 1วัน
แอปเปิ้ล จัดเป็นผลไม้ที่มีกากใยและสารฟลาโวนอยด์สูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถลดความเสี่ยงเรื่องมะเร็งลำไส้ได้เป็นอย่างดีค่ะ

เพกตินคืออะไร?  ทำไมช่วยล้างสารพิษได้
คือกากใยอาหารชนิดละลายน้ำ มีคุณสมบัติในการลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดและควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดไม่ให้มีมากเกินไป แถมยังช่วยเพิ่มกากใยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น  เมื่อร่างกายมีการขับถ่ายบ่อย ๆ ตัวการที่ทำให้เกิดมะเร็งก็จะถูกขับถ่ายออกมาด้วย ถือเป็นการล้างสารพิษค่ะ 

ข่าวดีสำหรับสาว ๆ ที่ไม่ต้องการอ้วนนะคะ ทราบไหมว่าในแอปเปิ้ล มีน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวเป็นองค์ประกอบหลัก มากกว่า ร้อยละ 70 ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันทีค่ะ ดังนั้นถ้าเรารับประทานแอปเปิ้ลเวลาที่ท้องว่าง เราจะรู้สึกอิ่มเร็วและอยู่ท้องกว่าผลไม้ชนิดอื่นค่ะ

ทราบแล้วก็อย่าลืมรับประทานแอปเปิ้ลกันให้ได้ทุกวันนะคะ